วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มารยาทในการเต้นลีลาศ



การเตรียมตัว

          1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด กำจัดกลิ่นต่าง ๆ ที่น่ารังเกียจ เช่น กลิ่นปาก กลิ่นตัว เป็นต้น
          2. แต่งกายให้สะอาด ถูกต้อง และเหมาะสมตามกาละเทศะ ซึ่งจะเป็นหารสร้างความมั่นใจในบุคลิกภาพของตนเอง          3. ควรใช้เครื่องสำอางที่มีกลิ่นไม่รุนแรงจนสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือกับคู่ลีลาศของตน          4. มีการเตรียมตัวล่วงหน้าโดยการฝึกซ้อมลีลาศในจังหวะต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในการลีลาศ          5. สุภาพบุรุษจะต้องให้เกียรติสุภาพสตรีและบุคคลอื่นในทุกสถานการณ์ และจะต้องไปรับสุภาพสตรีที่ตนเชิญไปร่วมงาน          6. ไปถึงบริเวณงานให้ตรงตามเวลาที่ระบุได้ในบัตรเชิญ






ก่อนออกลีลาศ

          1. พยายามทำตัวให้เป็นกันเอง และสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่ แนะนำเพื่อน
หญิงของตนให้บุคคลอื่นรู้จัก (ถ้ามี)
          2. ไม่ดื่มสุรามากจนครองสติไม่อยู่ ถ้ารู้สึกตัวว่าเมามาก ไม่ควรเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศ
          3. ไม่ควรเชิญสุภาพสตรีที่ไม่รู้จักออกลีลาศ ยกเว้นจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเสียก่อน
          4. สุภาพบุรุษควรแน่ใจว่าสุภาพสตรีที่ตนเชิญออกลีลาศ สามารถลีลาศจังหวะนั้น ๆ ได้หากไม่แน่ใจควรสอบถามก่อน
          5. สุภาพบุรุษควรเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศด้วยกริยาที่สุภาพ ถ้าถูกปฏิเสธก็ไม่ควรเซ้าซี้จนเป็นที่น่ารำคาญ
          6. สุภาพสตรี ไม่ควรปฏิเสธเมื่อมีสุภาพบุรุษมาขอลีลาศด้วย หากจำเป็นจะต้องปฏิเสธด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะต้องปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่สุภาพนุ่มนวล และไม่ควรลีลาศกับสุภาพบุรุษอื่นในจังหวะที่ตนได้ปฏิเสธไปแล้ว
          7. ถ้าในกลุ่มสุภาพสตรีที่นั่งอยู่มีบุคคลอื่นหรือสุภาพบุรุษอื่นนั่งอยู่ด้วย จะต้องกล่าวคำขออนุญาตจากบุคคลเหล่านั้นก่อนที่จะเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศ
          8. ก่อนออกลีลาศควรฟังจังหวะให้ออกเสียก่อน และแน่ใจว่าสามารถลีลาศในจังหวะนั้นได้
          9. ไม่ควรออกลีลาศกับคู่เพศเดียวกัน



ขณะลีลาศ

          1. ขณะที่พาสุภาพตรีไปที่ฟลอร์ลีลาศ สุภาพบุรุษควรเดินนำหน้า หรือเดินเคียงคู่กันไป เพื่อให้ความสะดวกแก่สุภาพสตรี และเมื่อไปถึงฟลอร์ลีลาศ ควรให้เกียรติสุภาพสตรีเดินขึ้นไปบนฟลอร์ลีลาศก่อน
          2. ในการจับคู่ สุภาพบุรุษต้องกระทำด้วยความนุ่มนวลสุภาพ และถูกต้องตามแบบแผนของการลีลาศ ไม่ควรจับคู่ในลักษณะที่รัดแน่นหรือยืน *** งจนเกินไป การแสดงออกที่น่าเกลียดบางอย่างพึงละเว้น เช่น การเอารัดเอาเปรียบคู่ลีลาศ เป็นต้น
          3. จะต้องลีลาศไปตามจังหวะ แบบแผน และทิศทางที่ถูกต้องไม่ย้อนแนวลีลาศ เพราะจะเป็นอุปสรรคกีดขวางการลีลาศของคู่อื่น ถ้ามีการชนกันเกิดขึ้นในขณะลีลาศ จะต้องกล่าวคำขอโทษหรือขออภัยด้วยทุกครั้ง
          4. ไม่สูบบุหรี่ เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือของขบเคี้ยวใด ๆ ในขณะลีลาศ
          5. ให้ความสนใจกับคู่ลีลาศของตน ความอบอุ่นเกิดขึ้นได้จากการยิ้มแย้มแจ่มใสหรือคำกล่าวชม ไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือหันไปสนใจคู่ลีลาศของคนอื่น และอย่าทำตนเป็นผู้กว้างขวางช่างพูดช่างคุยกับคนทั่วไปในขณะลีลาศ
          6. ควรลีลาศด้วยความสนุกสนานร่าเริง
          7. ไม่ควรพูดเรื่องปมด้อยของตนเองหรือของคู่ลีลาศ
          8. ไม่ควรเปลี่ยนคู่บนฟลอร์ลีลาศ
          9. ควรลีลาศในรูปแบบหรือลวดลายที่ง่าย ๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มรูปแบบหรือลวดลายที่ยากขึ้นตามความสามารถของคู่ลีลาศ เพราะจะทำให้คู่ลีลาศรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่ควรพลิกแพลงรูปแบบการลีลาศมากเกินไปจนมองดูน่าเกลียด
          10. ถือว่าเป็นการไม่สมควรที่จะร้องเพลงหรือแสดงออกอย่างอื่นในขณะลีลาศ หรือลีลาศด้วยท่าทางแผลง ๆ ด้วยความคึกคะนอง
          11. ไม่ควรสอนลวดลายหรือจังหวะใหม่ ๆ บนฟลอร์ลีลาศ
          12. ไม่ควรลีลาศด้วยลวดลายที่ใช้เนื้อที่มากเกินไป ในขณะที่มีคนอยู่บนฟลอร์เป็นจำนวนมาก
          13. ในการลีลาศแบบสุภาพชน ไม่ควรแสดงความรักในขณะลีลาศ
          14. การนำในการลีลาศเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีไม่ควรเป็นฝ่ายนำ ยกเว้นเป็นการช่วยในความผิดพลาดของสุภาพบุรุษ เป็นครั้งคราวเท่านั้น
          15. การให้กำลังใจ การให้เกียรติ และการยกย่องชมเชยด้วยใจจริง จะช่วยให้คู่ลีลาศเกิดความรู้สึกอบอุ่นและเชื่อมั่นในตนเองยิ่งขึ้น คู่ลีลาศที่ดี จะต้องช่วยปกปิดความลับหรือปัญหาที่เกิดขึ้นและมองข้ามจุดอ่อนของคู่ลีลาศ
          16. ไม่ควรผละออกจากคู่ลีลาศโดยกระทันหัน หรือก่อนเพลงจบ



เมื่อสิ้นสุดการลีลาศ

          1. สุภาพบุรุษต้องเดินนำหรือเดินเคียงคู่กันลงจากฟลอร์ลีลาศ และนำสุภาพสตรีไปส่งยังที่นั่งให้เรียบร้อย พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษอื่นที่นั่งอยู่ด้วย
          2. เมื่อถึงเวลากลับ ควรกล่าวคำชมเชยและขอบคุณเจ้าภาพ (ถ้ามี)
          3. สุภาพบุรุษจะต้องพาสุภาพสตรีที่ตนเชิญเข้างาน ไปส่งยังที่พัก


ประวัติลีลาศ

ความเป็นมาของการลีลาศ
การเต้นรำ (Dance) เป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย ไปตามจังหวะดนตรี เพื่อแสดงออกทางด้านอารมณ์ และความหรรษารื่นเริง การเต้นรำจึงมีประวัติอันยาวนาน คู่กับมนุษยชาติ เริ่มจากมนุษย์ในยุคโบราณ มีการเต้นรำ หรือฟ้อนรำเพื่อบูชาเทพเจ้า เพื่อขอพระ และขอความคุ้มครอง เป็นกิจกรรมบันเทิงควบคู่กันไป กับการกระทำพิธีกรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ถือเป็นรูปแบบของการเต้นรำดั้งเดิม (Primitive Dance) เมื่อสังคมเจริญก้าวหน้าขึ้น มนุษย์มีการรวมตัวกันตั้งถิ่นฐาน เป็นชุมชนที่มีการพัฒนา ทางด้านเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ การเต้นรำดั้งเดิมก็ได้รับการพัฒนา เป็นการเต้นรำพื้นบ้าน (Folk Dance) และเริ่มเป็นกิจกรรมสังคม ที่แยกจากเรื่องของพิธีกรรมทางศาสนา และลัทธิความเชื่อ มาเป็นกิจกรรมนันทนาการ เพื่อความบันเทิง และเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี ในหมู่คณะ (Social Relationship) ดังนั้น การเต้นรำพื้นบ้าน ได้รับความนิยมกว้างขวางขึ้นในสังคมเมือง มีการพัฒนาการเต้นรำพื้นบ้าน เป็นการเต้นรำที่เรียกว่า ลีลาศ (Ballroom Dance) โดยมีกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ในปลายศตวรรษที่ 18 และแพร่หลายไปทั่วโลก จนถึงปัจจุบัน



*************************************************

ลีลาศในประเทศไทย
การลีลาศในประเทศไทย ในเมืองไทยมีคนเต้นรำเป็น ตั้งแต่สมัยรัชการที่ 4 และคนที่เป็นนักเต้นรำคนแรก ก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ก็มีการเต้นรำกันทุกปีที่มีงานเฉลิมพระชนมพรรษา โดยจะมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นองค์ประธาน ซึ่งจะจัดกันที่พระที่นั่งจักรีฯ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งในเขตพระราชฐาน ซึ่งราชฑูตต่างๆ ก็จะมาเข้าเฝ้าด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่เต้น ก็มักจะเป็นจังหวะวอลซ์อย่างเดียว (นิตยสารลีลาศ ฉบับที่ 2 เดือนกันยายน , 2521)
ต่อมาในปี พ.ศ.2475 ได้มีการตั้งสมาคมสมัครเล่นเต้นรำขึ้น มีพระองค์เจ้าวรรณไวทยากรวรวรรณ เป็นนายกสมาคม และนายหยิบ ณ นคร เป็นเลขาธิการสมาคม ต่อมาเมื่อมีสมาชิกมากขึ้น จึงจัดงานลีลาศขึ้นที่สมาคมคณะราษฎร์ ซึ่งพระยาพหลฯ หัวหน้าคณะราษฎร์จะจัดการเลี้ยงฉลอง ที่วังสราญรมย์ จากนั้นก็มีการลีลาศกันบ่อยเข้า และมีการแข่งขันกันเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่วังสราญรมย์ โดยมีพลเรือตรีเฉียบ แสงชูโต กับคุณประนอม สุขขุม เป็นแชมป์คู่แรกของประเทศไทย
การลีลาศได้ซบเซาลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งสงครามสงบลงในเดือน กันยายน พ.ศ. 2488 วงการลีลาศของไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นใหม่ มีโรงเรียนสอนลีลาศเกิดขึ้นหลายแห่งโดยเฉพาะสาขาบอลรูมสมัยใหม่ (Modern Ballroom Branch ) ซึ่งอาจารย์ยอด บุรี ได้ไปศึกษามาจากประเทศอังกฤษและเป็นผู้นำมาเผยแพร่ ช่วยทำให้การลีลาศซึ่งศาสตราจารย์ศุภชัย วานิชวัฒนาเป็นผู้นำอยู่ก่อนแล้วเจริญขึ้นเป็นลำดับ
ในปี พ.ศ.2491 มีบุคคลชั้นนำในการลีลาศซึ่งเคยเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันลีลาศสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 อาทิ อุไร โทณวณิก กวี กรโกวิท จำลอง มาณยมณฑล ปัตตานะ เหมะสุจิ และ นายแพทย์ประสบ วรมิศร์ ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมลีลาศแห่งประเทศไทยขึ้น โดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ อนุญาตให้จัดตั้งได้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2491 มีหลวงประกอบนิติสาร เป็นนายกสมาคมคนแรก ปัจจุบันสมาคมลีลาศแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิกของสภาการลีลาศนานาชาติด้วยประเทศหนึ่ง
คำว่า "ลีลาศ" หรือ "เต้นรำ" มีความเหมือนๆ กัน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ฉบับปีพุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ "ลีลาศ" เป็นนาม แปลว่า "ท่าทางอันงาม การเยื้องกราย" เป็นกริยา แปลว่า "เยื้องกราย เดินนวยนาด" ส่วนคำว่า "เต้นรำ" แปลว่า "เคลื่อนที่ไป โดยมีระยะก้าวตามกำหนดให้เข้าจังหวะกับดนตรี ซึ่งเรียกว่า ลีลาศ โดยปกติเต้นเป็นคู่ชายหญิง"
ประเทศไทยเรียกการลีลาศว่า เต้นรำ มานานแล้ว คำว่า ลีลาศ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า "Social Dance" ในยุโรป เรียกการลีลาศ หรือเต้นรำว่า "Ballroom Dancing" ผู้บัญญัติศัพท์คำว่า "ลีลาศ" คือ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ (กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) เมื่อปี พ.ศ.2476

*************************************************

การลีลาศในฐานะกิจกรรมนันทนาการ
การเต้นรำแบบลีลาศ ในระยะแรกเป็นกิจกรรมนันทนาการ ที่จัดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของงานเลี้ยง และงานสังสรรค์ รวมทั้งงานเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญ โดยถือเป็นกิจกรรมหรรษาบันเทิง และเสริมมิตรภาพ ระหว่างสมาชิกที่มาร่วมงาน ยังมีลักษณะเป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย ตามจังหวะเพลง และดนตรีโดยมีผู้เต้นเป็นคู่ชาย หญิง มีการพัฒนาระเบียบแบบแผน ของการเต้นรำแบบลีลาศมาโดยลำดับ จนกระทั่งเป็นศิลปะที่มีรูปแบบลีลาศของท่าเต้น ดนตรี จังหวัด เทคนิค และการแต่งกายเป็นมาตรฐาน ที่สามารถถ่ายทอด โดยการฝึกฝนให้แก่ผู้สนใจ สามารถเต้นรำประเภทนี้ ได้ทุกเพศทุกวัย โดยมีทักษะพื้นฐานในการลีลาศ เป็นมาตรฐานเดียวกัน
การสร้างมาตรฐานการลีลาศ ให้เป็นมาตรฐานสากล เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1924 เมื่อมีการจัดตั้งสาขาลีลาศขึ้น ในสมาคมครูสอนลีลาศ แห่งประเทศอังกฤษ (Ballroom Branch of the Imperial of Teachers of Dancing) สมาคมนี้ มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ จรรโลงมาตรฐานการลีลาศ ทั้งด้านแบบท่าเต้น จังหวะ ดนตรี และเทคนิคการลีลาศ ทำให้การลีลาศนอกจากจะเป็นกิจกรรมนันทนาการ เพื่อการบันเทิง และเข้าสังคมแล้ว ยังเป็นกิจกรรมการแข่งขัน โดยมีมาตรฐานกติกา และมารยาททำนองเดียวกับ การแข่งขันกีฬาประเภทอื่น ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และปัจจุบันได้มีการวิเคราะห์การลีลาศ ในเชิงการกีฬา พบว่า การลีลาศเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด กิจกรรมหนึ่ง จึงได้มีการประยุกต์การลีลาศ ไปใช้เป็นกีฬา เพื่อออกกำลังกาย สำหรับคนทุกเพศทุกวัย การลีลาศจึงกลายเป็นกิจกรรม "เพื่อสุขภาพ" พร้อมๆ กัน "เพื่อมิตรภาพ" ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของการลีลาศ


ที่มา :: http://prakarndancehistory.blogspot.com/2011/05/...

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติทางการแพทย์

การแพทย์แผนโบราณและการแพทย์แผนปัจจุบันในสมัยอยุธยา
โดย...นายแพทย์สุด แสงวิเชียร

                  
ขณะที่ประเทศไทยใช้วิธีการแพทย์ แบบที่เรียกว่าการแพทย์แผนโบราณ อยู่นั้น การแพทย์ฝ่ายประเทศทางตะวันตกโดยอาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้เจริญก้าวหน้าไปมาก ฉะนั้นเมื่อประเทศไทยได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวยุโรป ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๕๔ (ค.ศ. ๑๕๑๑) ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พวกแรกที่เข้ามาก็คือ พวกโปรตุเกส ได้ทำสัญญาทางพระราชไมตรีฉบับแรกขึ้นใน  พ.ศ. ๒๐๕๙  (ขจร สุขพานิช ๒๕๑๐) จากต้นฉบับภาษาสเปนปรากฏว่า (เดโช อุตตรนที พ.ศ. ๒๕๑๐)  นอกจากจะมีการติดต่อทางทูตแล้ว ได้มีชาวโปรตุเกส ๓๐๐ คนเข้ามาเป็นทหารรักษาพระองค์ ต่อมาก็ มีบาทหลวงมาเผยแผ่ศาสนา นอกจากบาทหลวงโปรตุเกสแล้ว ก็มีบาทหลวงสเปน เข้ามาสร้างวัด โบสถ์ของคณะโดมินิกัน มี
ชื่อว่าซันโตโดมิงโก และของคณะเยซูอิด มีชื่อว่าซันโตเปาโล นอกจากการติดต่อครั้งนี้แล้ว ประเทศไทยยังได้มีการติดต่อกับชาติ ตะวันตกอื่นๆ อีก เช่น ฮอลันดา  อังกฤษ และฝรั่งเศส ดังปรากฏในบทความของ เฟอร์เนา เมเดส ปินโต (Fernao Medes Pinto)

                   สำหรับแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ต้องยอมรับกันว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว คือ ตั้งแต่ชาวโปรตุเกสเข้ามา (พ.ศ. ๒๐๕๔)   จนกระทั่งมีนายแพทย์โปรตุเกสเข้ามาเมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๐ จนสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๒๓๑) นั้น ประเทศไทยได้รับความรู้วิชาการแพทย์แผนปัจจุบัน  จากชาวตะวันตกที่เข้ามาติดต่อค้าขายและเผยแผ่คริสต์ศาสนาทั้งสิ้น   เพราะขณะนั้นการแพทย์แผนปัจจุบัน  ในประเทศทางทวีปยุโรปได้เจริญก้าวหน้าไปมาก เป็นของแน่ชัดว่าจะต้องมีแพทย์ หรือผู้มีความรู้การแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามากับคณะต่างๆ เพื่อรักษาพยาบาลบุคคลในคณะของเขา และเมื่อมีการนำคริสต์ศาสนาออกเที่ยวสั่งสอนประชาชน วิธีการตรวจรักษาและยาก็คงได้ใช้แพร่หลายไปในหมู่ประชาชนด้วย แม้ในราชสำนักของ สมเด็จพระนารายณ์ ก็มีแพทย์หลวงเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งเป็นแพทย์หลวงฝ่ายยาไทย อีกพวกหนึ่งเป็นแพทย์หลวงฝ่ายยาฝรั่ง ดังหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือ "ตำราพระโอสถ พระนารายณ์" ที่แพทย์หลวงได้ประกอบขึ้น ยาที่แพทย์หลวงฝ่ายฝรั่งได้ประกอบขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นยาขนานที่ ๒๒ มีว่า

                   ยาขนานที่ ๒๒ ยาแก้ขัดปัสสาวะ ให้เอาใบกะเพราเต็ม  กำมือหนึ่ง  ดินประสิวขาวหนัก ๒ สลึง บดให้ละเอียด เอาใบชาต้ม เป็นกระสาย ละลายถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนิพพานท้ายสระ (พระองค์นี้  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ    ครั้งทรงดำรงตำแหน่งสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณ ทรงเข้าพระทัยว่าคือสมเด็จพระเพทราชา) ให้เสวย เมื่อเสวยพระโอสถแล้วกราบทูลให้เสวยพระสุธารสชา ตามเข้าภายหลังอีก ๒ ที ๓ ที ซึ่งขัดปัสสาวะนั้นไปพระบังคลเบาสะดวก
                 
                                 การบูร                                                                           ดินประสิว
ข้าพระพุทธเจ้านายแพทย์โอสถฝรั่ง  ประกอบทูลเกล้าถวาย ได้พระราชทานเงินตราชั่ง ๑

                      นอกจากนั้นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ยังโปรดให้หมอฝรั่งประกอบยาขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายด้วย ดังยาขนานที่ ๗๙  มีว่า

          ยาขนานที่ ๗๙ ขนานหนึ่งให้เอาพิมเสน ๒ สลึง การบูร  ๓ สลึง  มาตะกี ๕ สลึง ชันตะเคียน กำยาน สิ่งละ ๗ สลึง ขี้ผึ้งขาว ๑๐ ตำลึง น้ำมันมะพร้าวคั้นใหม่ดีนั้นครึ่งทนานเคี่ยวขึ้นด้วยกันให้สุกแล้ว กรองกากออกเสีย เอาไว้ให้เย็น จึงเอาไข่ไก่เอาแต่ไข่ขาว ๒ ลูก เอาสุรากลั่นประมาณจอกหนึ่ง กวนกับไข่ให้สบกันดีแล้ว จึงแบ่งออกให้เป็น ๓ ภาคๆหนึ่งนั้น เอาน้ำตะแลงไข้ ๓ สลึง การบูร  ๓ สลึง กวนเข้าด้วยกันให้สบดีแล้วเป็นสีผึ้งแดง จึงเอาสีผึ้งขาวภาคหนึ่งมากวนด้วยจุนสีพอสมควรเป็นสีผึ้งเขียว ภาคหนึ่งเป็นสีผึ้งขาว ปิดแก้พิษแสบร้อนให้เย็น
          ข้าพระพุทธเจ้า เมลี หมอฝรั่งประกอบทูลเกล้า ฯ ถวายสำหรับปิดฝีเปื่อยเน่าบาดเจ็บใหญ่น้อย ให้ดูดบุพโพกัดเนื้อ เรียกเนื้อ ด้วยสีผึ้งเขียว ใช้กัด สีผึ้งแดงเรียกเนื้อ สีผึ้งขาวแก้พิษ เลือกใช้เอาเถิดฯ

                     นอกจากตำรับยาทั้งสองขนานนั้นแล้ว มีบันทึกที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง คือ บันทึกของเชวาเลียร์ เดอ ฟอร์แบง (Chevalier DeForbin) ท่านผู้นี้ได้เดินทางมาประเทศไทยในคณะทูตชุดแรกของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘  แต่เมื่อคณะทูตกลับสมเด็จพระนารายณ์ได้ทรงขอตัวและนายช่าง ๑ นาย  ไว้ใช้ในราชการของกรุงศรีอยุธยา  ภายหลังได้รับบรรดาศักดิ์เป็น"ออกพระศักดิ์สงคราม" อยู่ในเมืองไทยได้ ๒ ปีก็หนีกลับประเทศฝรั่งเศส เพราะเกิดผิดใจกับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เดอฟอร์แบงได้บันทึกไว้ว่าตอนเกิดขบถมักกะสัน พวกขบถบางส่วนที่ล่องเรือผ่านป้อมบางกอก จะออกแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดสู้รบกับทหารที่ประจำอยู่ที่ป้อม แม้พวกขบถจะมีกริช ก็สามารถฆ่าทหารและชาวบ้านล้มตายเป็นอันมาก ผู้ช่วยคนหนึ่งของเดอฟอร์แบง ชื่อ โปเรอะคาร์ หน้าท้องถูกแทงไส้พุงและกระเพาะอาหารทะลักออกมาข้างนอก ห้อยอยู่ที่ตะโพก เดอ ฟอร์แบงขณะนั้นไม่มีทั้งยาและแพทย์ ได้เอาไหมมาสนเข็มเข้าสองเล่มแล้วยกไส้พุงและกระเพาะอาหารกลับเข้าไปในช่องท้อง เย็บแผลด้วยไหม ตามวิธีที่เคยเห็นมา แล้วใช้ไข่ขาวตีผสมกับเหล้าล้างที่แผล ทำอยู่ ๑๐ วัน โปเรอะคาร์ก็รอดชีวิต เรื่องนี้ถ้าดูในประวัติการแพทย์ของยุโรป ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป คงเป็นเรื่องจริง เพราะเดอ ฟอร์แบงเป็นทหารย่อมเคยเห็นบาดแผลและการรักษาในสนามรบ จึงนำวิธีมาใช้ แม้จะไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาในทางวิชาแพทย์  แสดงว่าวิชาการทุกอย่างได้นำเข้ามาใช้ในประเทศไทย รวมทั้งวิชาการแพทย์ของชาวยุโรปด้วย

ข้าพระพุทธเจ้านายแพทย์โอสถฝรั่ง  ประกอบทูลเกล้าถวาย ได้พระราชทานเงินตราชั่ง ๑

                   นอกจากนั้นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ยังโปรดให้หมอฝรั่งประกอบยาขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายด้วย ดังยาขนานที่ ๗๙  มีว่า  
                   ยาขนานที่ ๗๙ ขนานหนึ่งให้เอาพิมเสน ๒ สลึง การบูร  ๓ สลึง  มาตะกี ๕ สลึง ชันตะเคียน กำยาน สิ่งละ ๗ สลึง ขี้ผึ้งขาว ๑๐ ตำลึง น้ำมันมะพร้าวคั้นใหม่ดีนั้นครึ่งทนานเคี่ยวขึ้นด้วยกันให้สุกแล้ว กรองกากออกเสีย เอาไว้ให้เย็น จึงเอาไข่ไก่เอาแต่ไข่ขาว ๒ ลูก เอาสุรากลั่นประมาณจอกหนึ่ง กวนกับไข่ให้สบกันดีแล้ว จึงแบ่งออกให้เป็น ๓ ภาคๆหนึ่งนั้น เอาน้ำตะแลงไข้ ๓ สลึง การบูร  ๓ สลึง กวนเข้าด้วยกันให้สบดีแล้วเป็นสีผึ้งแดง จึงเอาสีผึ้งขาวภาคหนึ่งมากวนด้วยจุนสีพอสมควรเป็นสีผึ้งเขียว ภาคหนึ่งเป็นสีผึ้งขาว ปิดแก้พิษแสบร้อนให้เย็น
          ข้าพระพุทธเจ้า เมลี หมอฝรั่งประกอบทูลเกล้า ฯ ถวายสำหรับปิดฝีเปื่อยเน่าบาดเจ็บใหญ่น้อย ให้ดูดบุพโพกัดเนื้อ เรียกเนื้อ ด้วยสีผึ้งเขียว ใช้กัด สีผึ้งแดงเรียกเนื้อ สีผึ้งขาวแก้พิษ เลือกใช้เอาเถิดฯ

                   นอกจากตำรับยาทั้งสองขนานนั้นแล้ว มีบันทึกที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง คือ บันทึกของเชวาเลียร์ เดอ ฟอร์แบง (
Chevalier DeForbin) ท่านผู้นี้ได้เดินทางมาประเทศไทยในคณะทูตชุดแรกของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘  แต่เมื่อคณะทูตกลับสมเด็จพระนารายณ์ได้ทรงขอตัวและนายช่าง ๑ นาย  ไว้ใช้ในราชการของกรุงศรีอยุธยา  ภายหลังได้รับบรรดาศักดิ์เป็น"ออกพระศักดิ์สงคราม" อยู่ในเมืองไทยได้ ๒ ปีก็หนีกลับประเทศฝรั่งเศส เพราะเกิดผิดใจกับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เดอฟอร์แบงได้บันทึกไว้ว่าตอนเกิดขบถมักกะสัน พวกขบถบางส่วนที่ล่องเรือผ่านป้อมบางกอก จะออกแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดสู้รบกับทหารที่ประจำอยู่ที่ป้อม แม้พวกขบถจะมีกริช ก็สามารถฆ่าทหารและชาวบ้านล้มตายเป็นอันมาก ผู้ช่วยคนหนึ่งของเดอฟอร์แบง ชื่อ โปเรอะคาร์ หน้าท้องถูกแทงไส้พุงและกระเพาะอาหารทะลักออกมาข้างนอก ห้อยอยู่ที่ตะโพก เดอ ฟอร์แบงขณะนั้นไม่มีทั้งยาและแพทย์ ได้เอาไหมมาสนเข็มเข้าสองเล่มแล้วยกไส้พุงและกระเพาะอาหารกลับเข้าไปในช่องท้อง เย็บแผลด้วยไหม ตามวิธีที่เคยเห็นมา แล้วใช้ไข่ขาวตีผสมกับเหล้าล้างที่แผล ทำอยู่ ๑๐ วัน โปเรอะคาร์ก็รอดชีวิต เรื่องนี้ถ้าดูในประวัติการแพทย์ของยุโรป ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป คงเป็นเรื่องจริง เพราะเดอ ฟอร์แบงเป็นทหารย่อมเคยเห็นบาดแผลและการรักษาในสนามรบ จึงนำวิธีมาใช้ แม้จะไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาในทางวิชาแพทย์  แสดงว่าวิชาการทุกอย่างได้นำเข้ามาใช้ในประเทศไทย รวมทั้งวิชาการแพทย์ของชาวยุโรปด้วย

*************************************


การแพทย์ในทวีปยุโรปในสมัยสมเด็จพระนารายณ์

                     ระหว่างพุทธศักราช  ๒๐๕๔ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีฝรั่งเข้ามาในสมัยอยุธยาและ พ.ศ. ๒๒๓๑ ซึ่งเป็นปีที่ตรงกับปีสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นเกือบตรงกับ พ.ศ. ๒๐๔๓ - ๒๒๔๓ ซึ่งทางฝ่ายยุโรปถือเป็นระยะเวลาที่สำคัญ คือเป็นระยะเวลาที่มีการฟื้นฟูศิลปวิทยาของยุโรป (Renaissance) เช่น มีการประดิษฐ์การพิมพ์ การพบทวีปอเมริกา และมีการเดินเรือติดต่อกับประเทศอินเดีย ทำให้ประชาชนรวมทั้งรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้ เลิกล้มความเชื่อถือเก่าๆ และพยายามศึกษาหาข้อเท็จจริง ทำให้วิชาการหลายแขนงเจริญก้าวหน้ากว่าเดิมเป็นอันมาก วิชาการแพทย์ของทวีปยุโรปก็รวมอยู่ในกลุ่มทางวิชาการที่ก้าวหน้านี้ด้วย เพราะมีพื้นฐานดีอยู่แล้วจากวิชาการแพทย์ที่เจริญอยู่ในประเทศใกล้เคียง และที่มีอิทธิพลมากก็คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นในประเทศกรีซ (Greece) วิชาการที่เห็นได้ชัดเจนคือ  ความรู้ในเรื่องร่างกายของมนุษย์ เป็นความรู้ที่ถูกต้อง เพราะศึกษาจากของจริงโดยการชำแหละศพของคน แม้ความรู้เกี่ยวกับร่างกายจะมีอยู่บ้างแต่เดิม ก็ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง เพราะศึกษาจากศพของสัตว์ เช่น งานของกาเลน  (Galen, ค.ศ. ๑๓๐-๒๐๐) ผู้ริเริ่มศึกษาหาความรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นแพทย์  แต่เป็นศิลปินคนสำคัญของโลก  คือ  ลีโอนาร์ดา  ดา  วินซี (Leonardo da Vinci,    ค.ศ. ๑๔๕๒-๑๕๑๙) ท่านผู้นี้ไม่พอใจความรู้เกี่ยวกับร่างกายที่มีอยู่    เพราะไม่อาจใช้ได้ถูกต้องในการปั้นและการเขียนภาพของคน ท่านจึงลงมือศึกษาเองจากศพโดยวิธีชำแหละ แต่การศึกษาของท่านก็เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ที่มองเห็นได้จากภายนอก เช่น แขน ขา และลำตัว  ไม่ลึกซึ้งเข้าไปถึงอวัยวะภายในอันเป็นความรู้ที่จำเป็นต่อวิชาแพทย์ เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคและการรักษา ความรู้ที่เป็นที่ต้องการอย่างยิ่งเกี่ยวกับวิชาการแพทย์ ได้ทำการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดย อันเดรียส เวซาลิอุส (Andreas Vesalius, ค.ศ. ๑๕๑๔-๑๕๖๔) นักกายวิภาคศาสตร์ ชาวเบลเยียม จนกระทั่งได้รับการยกย่องทั่วโลกว่าเป็น บิดาของวิชากายวิภาคศาสตร์ พร้อมกับความก้าวหน้าในวิชาพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้วิชาการแพทย์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดในส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ก้าวหน้าขึ้น ก็เกิดมีอัจฉริยะบุคคลคือ อัมบรัวซ์ ปาเร (Ambroise Pare, ค.ศ. ๑๕๑๐-๑๕๙๐)ชาวฝรั่งเศส คิดแก้ไขวิธีการผ่าตัดให้ปลอดภัยและมีอันตรายน้อยลง เช่น เดิมบาดแผลของแขนขาที่ถูกตัดเพื่อจะให้เลือดหยุด แพทย์จะใช้เหล็กเผาไฟจี้ให้เลือดหยุด (cautery)  แต่วิธีนี้เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อบริเวณนั้น  นอกจากจะทำให้แผลหายช้าแล้ว   ยังทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดอย่างสาหัส  ปาเรได้แก้ไขโดยวิธีผูกหลอดเลือดแทน ฉะนั้นปาเรจึงเป็นบุคคลแรกที่คิดทำคีมจับหลอดเลือดขึ้น ในสมัยของปาเรบาดแผลที่ถูกกระสุนปืนใช้น้ำมันเดือดราดไปบนแผล อ้างว่ากันไม่ให้แผลเป็นพิษแต่ปาเรใช้น้ำมันที่สะอาดแต่งแผลแทน ผู้ป่วยไม่มีความเจ็บปวดและแผลหายเร็วขึ้น วิธีของปาเรคงติดมาถึงเมืองไทยในสมัยนั้นด้วย เดอ ฟอร์แบงจึงนำมาใช้ในการรักษาทหารที่ถูกอันตรายที่หน้าท้องจนลำไส้และกระเพาะอาหารทะลักออกมาภายนอกปกเรเป็นคนคัดค้านไม่ยอมให้ใช้เนื้อมัมมี่และเขาของสัตว์เขาเดียว (Unicorn) ในการรักษากาฬโรค

อัลเดรียส เวซาลิอุส

                   ฝ่ายทางยาหรืออายุรศาสตร์ก็มี  ปาราเซลซุส  ('Paracel-    sus, Phillippus  Aureolus',  Theophrastus  Bombastus  Von Hohenheim,  ค.ศ. ๑๔๙๓-๑๕๔๑) เป็นผู้แนะนำให้กลับไปใช้วิธีการของฮิปโป คราเตส (Hippocrates, ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช) โดยอาศัยธรรมชาติเป็นสำคัญ ทำให้การรักษาพยาบาลดีขึ้น ตัวอย่างคำกล่าวสั้นๆ  แบบคำพังเพย (apjorisms) ของฮิปโปคราเตสได้แก่ ผู้ใดชักสืบเนื่องจากบาดแผลบอกอาการตาย (บาดทะยัก) ผู้ที่มีลักษณะตามธรรมชาติเป็นคนอ้วนมักตายด้วยโรคปัจจุบันยิ่งกว่าคนผอม เมื่อผู้เพ้อหลับลงได้นับเป็นการดี ชีวิตสั้นแต่ศิลปะวิทยาจะอยู่ต่อไปอีกนาน   การเปลี่ยนแปลงของโรคเป็นไปโดยรวดเร็ว  การทดลองย่อมต้องฝ่าอันตราย การตัดสินใจเป็นเรื่องยาก คนชราจะเป็นโรคต่างๆ ได้น้อยกว่าคนหนุ่มสาว แต่ถ้าคนชราเกิดเป็นโรคเรื้อรังขึ้นโรคนั้นก็มักติดตามไปถึงหลุมศพด้วย อย่าละเลยว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ไม่มีบาดแผลใดที่ศีรษะแม้เป็นบาดแผลเล็กน้อยที่อาจจะละเลยได้ และก็ไม่มีบาดแผลใดที่ศีรษะแม้จะดูร้ายแรงเพียงไรจนคิดว่า จะทำให้ถึงแก่ชีวิตแล้วละเลยเสีย  เป็นต้น (คำแปลคำพังเพยนี้ อาจจะยาวไปกว่าตัวจริง แต่เพื่อจะให้เกิดความเข้าใจตามความหมายจึงได้ขยายขึ้นเล็กน้อย) คำพังเพยยังคงใช้ต่อมาจนถึง  ทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีข้อความที่ผู้ที่จะดำเนินชีวิตในอาชีพแพทย์จะต้องกล่าวคำสาบาน (Hippocratic oath) ที่ใช้กันอยู่แพร่หลายในหลายแห่งของโลก ทำให้แพทย์มีจรรยาบรรณในการปฏิบัติที่เหมาะสม
      
ปาราเซลซุล

ที่ประเทศอังกฤษได้ตั้งสมาคมแพทย์ขึ้นโดยทอมัส ลินักร์    (Thomas Linacre, ค.ศ. ๑๔๖๐-๑๕๑๔) ซึ่งเป็นผู้พบว่า มีผู้ที่ให้การรักษาผู้ป่วยเป็นหมอเถื่อนที่ขาดการศึกษาเป็นส่วนใหญ่   ต่อมาสมาคมนี้ได้กลายเป็นราชวิทยาลัยแพทย์แห่งกรุงลอนดอน (Royal College of Physicians of London) ดูแลให้กิจการแพทย์ของประเทศอังกฤษดำเนินไปตามหลักการของวิทยาศาสตร์ และ  ผู้ทำการรักษาพยาบาลจะต้องได้ใบประกอบโรคศิลป์

          เกี่ยวกับประวัติการแพทย์ เท่าที่ได้เอ่ยนามบุคคลต่างๆ มาแล้ว ไม่อาจจะนำรายละเอียดมาเสนอได้ เพราะจะกลายเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่ง เป็นประวัติการแพทย์สากลไป  แต่ต้องการจะให้ทราบแต่เพียงว่าการเจริญทางการแพทย์ของประเทศตะวันตกนั้น ย่อมถูกชักนำเข้ามาพร้อมกับผู้มาแสวงโชคในทางการค้ากับคณะนักบวช คณะทหาร และคณะทูตที่มาเจริญทางสัมพันธไมตรี พร้อมกับการแพทย์ งานทางวิทยาศาสตร์ก็คงได้นำเข้ามาด้วย เพราะในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ คือจาก ค.ศ. ๑๖๐๐-๑๗๐๐ (พ.ศ. ๒๑๔๓-๒๒๔๓) ได้เกิดอัจฉริยบุคคลขึ้น  หลายท่าน เช่น ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon,ค.ศ. ๑๕๖๑- ๑๖๒๖) ผู้เน้นความสำคัญในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ กาลิเลโอ (Galileo,  ค.ศ. ๑๕๖๔-๑๖๔๒) ผู้สร้างกล้องโทรทรรศน์  ซึ่งเป็นแม่แบบของกล้องจุลทรรศน์ (Compound microscope) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในวิชาการแพทย์ต่อมา โดยบุคคลในตระกูลแจนเซน (Janzen, Z. & H.) โดยใช้เลนส์ที่มีความโค้งออกทั้งสองด้านใส่เข้าไปในท่อ  ท่านผู้นี้ยังเป็นผู้สร้างให้เกิดความแน่นอนในการวัด   ทำให้การทดลองทางการแพทย์มีผลแน่นอนขึ้น โดยอาศัยแนวการปฏิบัติของกาลิเลโอ  ทำให้แซงตอเรียม (Sanctorium,  ค.ศ. ๑๕๖๑-๑๖๓๖) ประดิษฐ์ปรอทใช้วัดความร้อน และต่อมาได้ประดิษฐ์เครื่องมือวัดชีพจรขึ้น

 
       ฟรานซิส เบคอน

                    รอเบิร์ต บอยล์ (Robert Bolye, ค.ศ. ๑๖๒๗-๑๖๙๑) เป็นคนแรกที่แสดงให้เห็นว่าอากาศเป็นวัตถุและมีปริมาตรที่วัดได้  งานของบอยล์ ทำให้ จอน เมยัวร์ (John Mayour, ค.ศ. ๑๖๔๕- ๑๖๗๗) กล่าวว่า อากาศมีส่วนประกอบสำคัญในการหายใจ และเป็นผู้ทำออกซิเจนโดยเผาออกไซด์ และเกือบเป็นผู้พบว่าออกซิเจน  เป็นตัวเปลี่ยนเลือดจากหลอดเลือดดำให้เป็นสีแดง ในศตวรรษเดียวกันนี้ ก็ได้พบการไหลเวียนของเลือดโดยฮาร์วีย์ มีการใช้เหล็กในการรักษาโรคโลหิตจาง การใช้เปลือกต้นซิงโคนา จากประเทศเปรูในการรักษาไข้จับสั่น  ซึ่งได้นำเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา  โดยคณะนักบวชตามที่ได้กล่าวแล้ว รู้จักการใช้ปรอทในการรักษาโรคซิฟิลิส โดยโทมัส ซิดเดนแฮม (Thomas Sydenham, ค.ศ. ๑๖๒๔-๑๖๘๙) ผู้ซึ่งแนะแนวในการวินิจฉัยโรค และการรักษาตามแนวของฮิปโปคราเตส จนได้ฉายาว่า ฮิปโปคราเตส ชาวอังกฤษ (English Hippocrates) และมีชื่อสัมพันธ์อยู่กับโรคสันนิบาตลูกนกและการไอชนิดหนึ่งซึ่งเนื่องมาจากประสาท

ที่มา :: http://guru.sanook.com/encyclopedia...

ประวัติทางการแพทย์, มารยาทของการเต้นรำ, ประวัติความเป็นมาของการเต้นรำแบบ Ball Room Dance


รายวิชาสุขศึกษา และพลศึกษา (พ30106)
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554

จัดทำโดย
น.ส.ชุติมณฑน์     เคารพาพงศ์  เลขที่ 2
น.ส.เศรษฐ์ญบงกร  เรืองสุวรรณ  เลขที่ 8
น.ส.หทัยภัทร   วะสีนนท์  เลขที่ 9
นายดรัณภพ   สังเกตุ  เลขที่ 14
นายปิยะฤทธิ์   อิทธิชัยวงศ์  เลขที่ 17
ชั้นมัธยมศึกษาปีที 6 ห้อง 6